Trainer tip สรุปรวมราคา

 สรุปราคาเทรนเนอร์ ในแต่ละยิม

ราคาจากคุ้มสุดไปแพงสุด

ราคาเทรนเนอร์

อันดับที่ 1 Fitfac Muaythai

ค่าเทรนเนอร์เฉลี่ยครั้งละ 700-800 บาท ไม่ต้องเสียค่าสมาชิกรายเดือนเพิ่ม มี แพคเกจทดลอง 3 ครั้ง 2990 บาท ได้ต่อยทั้งมวย และ ยกน้ำหนัก

ข้อเสียคือ พนักงานน้อย ไม่ค่อยมีเวลาว่างรับลูกค้าใหม่ ช่วงเวลาที่รับลูกค้าได้จำกัดแค่ 21.00 น. และไม่เปิดตอนเช้า

อันดับ 2 Jetts Fitness

ค่าเทรนเนอร์เฉลี่ยต่อครั้ง 800-1000 บาท ต้องเสียค่าสมาชิกรายเดือนต่างหาก แพคเกจเริ่มต้นที่ 12 ครั้ง 12000 บาท ราคารวม Vat แล้ว

ข้อเสียคือ พนักงานเข้าออกบ่อย คนที่เราเรียนอยู่ สักพักอาจจะลาออกไปหมด


อันดับ 3 Fitness First

ค่าเทรนเนอร์เฉลี่ยต่อครั้ง 1000 -1300 บาท ขึ้นอยู่กับระดับของเทรนเนอร์ (แต่ส่วนใหญ่เทรนเนอร์ที่ Fitness First มีให้เราจะเริ่มต้นที่ครั้งละ 1100 บาท) ต้องเสียค่าสมาชิกต่างหาก แพคเกจเริ่มต้นมี 5 ครั้ง 3210 บาท(แต่ต้องสมัครสมาชิกขั้นต่ำ 5 เดือน แล้วเท่านั้น ถึงจะลองได้)

ข้อเสีย แพง เทรนเนอร์จะกดดันสูงพยายามขายตลอดเวลา ไม่มีความยืดหยุ่นให้สมาชิกในช่วงโควิด


อันดับ 4 Virgin Active

ค่าเทรนเนอร์เฉลี่ยต่อครั้ง 1100 -1400 บาท ขึ้นอยู่กับระดับของเทรนเนอร์ (แต่ส่วนใหญ่เทรนเนอร์ที่ Virgin Active มีให้เราจะเริ่มต้นที่ครั้งละ 1100 บาท) ต้องเสียค่าสมาชิกต่างหาก แพคเกจเริ่มต้นมี 5 ครั้ง 3210 บาท(แต่ต้องสมัครสมาชิกขั้นต่ำ 5 เดือน แล้วเท่านั้น ถึงจะลองได้)












อีกสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปลืมนึกถึงเวลาซื้อเทรนเนอร์ เลย คือ ซื้อเทรนเนอร์ ของ ฟิตเนส ที่แพงๆอยู่แล้ว คุณยังต้องเสียค่าสมาชิกรายเดือนต่างหากอีกก้อนนึงด้วย เพราะฉะนั้น เวลาตัดสินใจจ้างเทรนเนอร์ ควรนำราคารายเดือนมาคิดด้วยเช่นกัน(จะมีฟิตเนสบางแห่งที่ไม่เก็บค่ารายเดือน ต่างหาก แต่คิดเฉพาะค่าเทรนเนอร์อย่างเดียว เช่น Fitfac Absolute you หรือ The base)


เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่ตัดสินใจซื้อเทรนเนอร์ แล้วไม่ได้ ใช้บริการในฟิตเนสส่วนอื่นๆ เช่น คลาสเต้น คลาสโยคะ หรือ คลาสจักรยาน ราคารายเดือน ก็เป็นเหมือนต้นทุนที่แฝงเข้าไปในค่าเทรนเนอร์ด้วยเช่นกัน

ถ้าซื้อเทรนเนอร์ไว้ แล้วเทรนไม่หมด แต่ระยะเวลาสมาชิก หมดลงก่อน จะทำอย่างไร? คุณต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนต่างหากเพิ่มเติม เพื่อเข้าไปเทรนกับเทรนเนอร์ ถ้าไม่จ่ายค่าสมาชิกเพิ่ม จำนวนครั้งที่เหลือ ก็ จะหายไปฟรีๆ

อย่า ให้เซล เลือกเทรนเนอร์มาให้เด็ดขาด (เงินเรา เราเลือกเอง) เราจะได้เทรนเนอร์ที่ถูกจริต และถูกชะตาเรามากสุด

ก่อนจะซื้อ ให้เช็คตารางเวลา เทรนของเทรนเนอร์ว่า มีว่างตรงกันกับเรามั้ย และขอดูผลงานในอดีตของเทรนเนอร์ด้วยว่าเป็นไงบ้าง

ถามว่า certificate ต่างๆสำคัญมั้ย?
ส่วนตัวแล้วเราคิดว่า ไม่
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผลงานในอดีต ของเทรนเนอร์ ว่า เทรนลูกค้ามาแล้วเป็นยังไงบ้าง

รูปร่างของเทรนเนอร์สำคัญมั้ย?
สำคัญ แต่ไม่สำคัญทั้งหมด เทรนเนอร์บางคนตัวเล็กๆ แต่เอาใจใส่ลูกค้าดี ทำให้ลูกค้าผอมไปหลายคนแล้วก็มี

เทรนเนอร์บางคนตัวใหญ่ แต่มัวแต่สนใจกล้ามตังเองกับ จีบลูกค้าอย่างเดียวก็มี

ความรู้ด้านโภชนาการสำคัญมั้ย
สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือวินัยของลุกค้า เพราะเรารู้จักหลายคนที่เทรนกับเทรนเนอร์ที่เก่งมากๆ แต่ไม่ผอมสักที เพราะเทรนเนอร์เตือนให้เลี่ยงอาหารอะไรก็ไม่ยอมทำตาม

อะไรสำคัญที่สุดสำหรับเทรนเนอร์
⁃ คนที่ตามให้เรามาออกกำลังกายตามที่นัดกันไว้ได้
⁃ คนที่ทำให้เราสนุกกับการออกกำลังกาย
⁃ คนที่คอยเตือนสติเราเวลาที่เราจะกินของไม่ดี
⁃ คนที่คอยสอนให้เราออกกำลังกายเองได้ โดยที่ไม่ต้องมีเทรนเนอร์ ในอนาคต

สำหรับทิปในการหาเทรนเนอร์ที่ดีและเหมาะสมกับคุณมีดังนี้

1. คุยด้วยแล้วถูกชะตา : ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา บุคลิก รูปร่าง ต้องเป็นคนที่เราคุยด้วยแล้วทำให้มีกำลังใจที่จะเข้ามาออกกำลังกาย(เป็นหนึ่งเหตุผลที่ เทรนเนอร์หน้าตาดี พูดจาดี ลูกค้าจะเยอะ)
2. เอาใจใส่ : เทรนเนอร์ที่ดี ควรถามคำถามและเอาใจใส่ถึงปัญหาที่ลูกค้ามี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มการเทรน คำถามที่เทรนเนอร์ควรถาม ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเป้าหมายของลูกค้า อาการบาดเจ็บในอดีต และลักษณะการใช้ชีวิตในประจำวัน (เทรนเนอร์ที่เน้นแต่ขายอย่างเดียว ไม่ถามรายละเอียดของลูกค้าเลย แนะนำให้เลี่ยงโดยเด็ดขาด)
3. ตารางเวลาที่ว่างตรงกัน : เทรนเนอร์ควรมีเวลาว่างที่ตรงกับเรา เพราะถ้าเราต้องปรับเวลาให้ตรงกับเทรนเนอร์ จะทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากที่เราจะไม่ได้ใช้บริการกับเทรนเนอร์ที่เราชอบ
4. มีการนัดเวลาล่วงหน้าและกระตุ้นให้เรามาออกกำลังกาย เทรนเนอร์ที่ดี ควรบริหารจัดการเวลา ให้ลูกค้าเข้าใช้บริการจนหมดแพคเกจที่ลูกค้าซื้อไว้ และควรกระตุ้นให้ลูกค้ามาออกกำลังกายตามเวลาที่กำหนด เช่น ระบุเวลาเจาะจงไว้เลย ว่าจะมาเทรน ทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ ตอน 08.00 น.
5. จดรายละเอียดตอนสอน เช่น สอนท่าอะไรไปบ้าง ลูกค้าทำท่าแล้วเป็นอย่างไร น้ำหนัก และไขมันลดไปมากแค่ไหนแล้ว
6. ไม่มีลูกค้ามากเกินไป จนบริหารเวลาลูกค้าไม่ได้ ตัวเลขที่เราคิดว่าเหมาะสม คือไม่ควรมีลูกค้าเกิน 8 คน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
7. แนะนำเรื่องอาหารได้เบื้องต้น ลูกจากรูปแบบอาหารหลายๆแบบ เทรนเนอร์ดีบางคน จะให้ลูกศิษย์ ถ่ายรูปอาหารก่อนกิน มาส่งให้เทรนเนอร์ดูทุกครั้ง เทรนเนอร์ที่ดี ควรทึ่จะควบคุมการกินของลูกค้าด้วย(คอยเตือนสติลูกค้า ว่า การกินสำคัญที่สุด)
8. ไม่หวงวิชา เทรนเนอร์ที่ดี ควรสอนให้ลูกค้าออกกำลังกายเป็นด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่หวงวิชา และพยายามจะเลี้ยงลูกค้าให้อยู่กับเทรนเนอร์นาน

เทคนิคการเลือกเทรนเนอร์
1. ลองคุยดูก่อนว่าเทรนเนอร์เอาใจใส่มั้ย ถามเราเกี่ยวกับการออกกำลังกายมั้ย ถ้ามีคำถาม มีการจดคำตอบ อันนี้แปลว่า ใส่ใจจริงจัง
2. ลองขอดูตารางเวลาสอนของเทรนเนอร์ว่า ยุ่งแค่ไหน (ถ้าตารางแน่นมาก แปลว่า น่าจะดีจริง แต่ มีข้อเสียคือ เทรนเนอร์จะไม่ว่างตรงกับเรา ถ้าตารางเวลาโล่ง อาจจะเป็นสัญญาณว่า เทรนเนอร์ไม่ดีลูกค้าน้อย)
3. ดูว่า เทรนเนอร์มีการจดรายละเอียดการสอนของลูกค้าแต่ละท่านมั้ย (ขอดูกระดาษจดการสอนของเทรนเนอร์)
4. มีตัวอย่างลูกค้าของเทรนเนอร์ที่มีปัญหาเหมือนกับตัวเรามั้ย เช่น เคยเทรนคนอ้วนเกิน 90 โล มาก่อนแล้วผอมลงมั้ย ถ้ามีขอดูรูป หรือ profile ก่อนและหลังของลูกค้า
5. เลือกเทรนเนอร์ที่เราจ่ายไหว!!! ราคาเทรนเนอร์ช่วงโปร จะถูก แต่พอเทรนไปสักพัก ราคาจะแพงขึ้น ให้เลือกระดับเทรนเนอร์ที่เราคิดว่าพอจ่ายไหวตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาหาเทรนเนอร์ใหม่ เพราะราคาสูงเกินไป




No comments:

Post a Comment